เรียนคณะรัฐบาล
ผมทราบว่ามีหลายฝ่ายกระตือรือล้นที่จะให้คำปรึกษาแก่ท่านในทุก ๆ เรื่องเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่บางครั้งก็ให้ความเห็นที่อาจจะดูแปลก ผมเองมีโอกาสได้มาทำงานในแถบเอเชียและในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2536 ซึ่งผมจะค่อนข้างระมัดระวัง และทำความเข้าใจกับประเด็นต่าง ๆ อย่างถี่ถ้วน จากหลากหลายมุมมอง ก่อนที่จะให้ความเห็น ภูมิหลังทางอาชีพของผมมุ่งเน้นไปในเรื่องการแปลงผันข้อมูลของบริษัทไทย หน่วยงานราชการ หรือองค์กรที่คล้าย ๆ กันในภูมิภาคนี้มาตั้งแต่ปี 2536
เมื่อครั้งที่ผมเริ่มมาที่ประเทศไทย ผมและทีมงานได้ช่วยกันเร่งรัดการติดตั้งและการใช้งานระบบอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ลาว เมียนมาร์ และอินโดนีเซีย และหลังจากนั้นก็ยังได้สนับสนุนอีกหลายองค์กรในอันที่จะผลักดันการใช้เทคโนโลยีที่ดีขึ้น การทำงานที่เป็นอัตโนมัติ และยังมีอีกหลายภารกิจมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อการใช้งานอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารไร้สายได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก การที่ธุรกิจของคุณจะตั้งอยู่ใน ซิลิคอน วัลเลย์ (โดยมีพนักงานเป็นชาวต่างชาติอยู่ราว 45%) หรือจาการ์ตา เบอร์ลิน หรือกรุงเทพฯ จึงไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป สิ่งที่แตกต่างคือ สิ่งที่อยู่ภายในบริษัทหรือองค์กรนั้น และการที่บริษัทหรือองค์กรเหล่านั้นจะขับเคลื่อน หรือเร่งการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ผมได้เห็นตัวอย่างในประเทศไทยทั้งที่ดีเยี่ยมระดับโลก และสิ่งที่อยู่ตรงกันข้าม ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างที่ดีมาก ๆ นั้น ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะแต่ในกรุงเทพฯ อย่างเช่น อโกดา ที่เริ่มก่อตั้งขึ้นที่ภูเก็ต
ถึงกระนั้น รัฐบาลนี้ก็ยังมีความรับผิดชอบมากกว่ายุคใด ๆ ที่จะทำให้ประชาชนทั่วประเทศสามารถเข้าถึง Digital economy หรือเศรษฐกิจที่อาศัย IT เป็นพื้นฐานได้อย่างทั่วถึง ค่าประมูลคลื่น 4G ที่สูงมาก อาจจะจำกัดพื้นที่การเข้าถึง และคุณภาพของการให้บริการบรอดแบนด์ 4G ทั่วประเทศ และเรายังไม่ได้พูดถึงการใช้งานบรอดแบนด์ผ่านสายไฟเบอร์ไปยังเสาส่งสัญญาน เมืองต่าง ๆ และบ้านของผู้ใช้งานทั่วประเทศ แม้กระทั่งในเยอรมนี ยังต้องมีการตรากฎหมายพิเศษเพื่อให้มั่นใจว่าจะมีการสื่อสารบรอดแบนด์ให้บริการทั่วประเทศภายในปี 2563 และให้แน่ใจว่าประชาชนในที่ห่างไกล ในชนบททั่วประเทศจะได้รับบริการนี้อย่างทั่วถึง
หลายสัปดาห์ก่อนผมได้เดินทางไปที่จังหวัดน่าน โดยคำเชิญจากองค์กรที่ไม่ใช่องค์กรของรัฐ และได้เห็นคนในหมู่บ้านติดต่อกับคนในเมืองผ่านสมาร์ทโฟน ทั้งในเรื่องเล่นและเรื่องการทำงาน สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ควรจะเกิดขึ้น แต่จะต้องมีมากกว่านี้ครับ
การแปลงผันข้อมูล หรือ Digitization จะเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานของฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ฝ่ายวิจัยและพัฒนา และฝ่ายนวัตกรรม ทุกวันนี้ การทำงานแบบเดิม ๆ ที่ต้องให้ผู้ค้าและที่ปรึกษาเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อผลักดันโลกเทคโนโลยีได้ลดลงอย่างมาก ตัวองค์กรเองจะเพิ่มความเป็นเจ้าของในงานนั้น ๆ ด้วยการทำงานกับระบบพัฒนาแบบเปิด (Open Source developments) ซึ่งไม่ต้องเสียค่าบริการ หรือองค์กรที่ก่อตั้งใหม่ (Startups) หรือบริษัทขนาดใหญ่ที่ให้บริการด้านเทคโนโลยีและ Cloud
สิ่งนี้จะต้องสะท้อนอยู่ในการจัดการเทคโนโลยีของรัฐบาล และวาระแห่งชาติที่รัฐบาลจะกำหนดขึ้น
คำถามที่ต้องการคำตอบ ได้แก่
- จะสร้างความมั่นใจในการเข้าถึงบริการดิจิตอลทั่วประเทศอย่างไร?
- จะจัดระบบการศึกษาทุกรูปแบบ ทุกระดับชั้นให้เข้าสู่ระบบดิจิตอลอย่างไร?
- การพัฒนาทางการศึกษา และการพัฒนาด้านดิจิตอลของชาติอยู่ที่ระดับใด?
- เงื่อนไขการให้ความสนับสนุนแก่ผู้ให้บริการโครงข่าย ในการขยายบริการเครือข่ายความเร็วสูง คุณภาพดี ในราคาค่อนข้างต่ำ ควรเป็นอย่างไร?
- จะเตรียมแรงงานให้พร้อมรับมือกับการขยายตัวของเทคโนโลยีดิจิตอล และหุ่นยนต์อย่างไร ซึ่งนี่ก็จะเป็นแนวทางป้องกันปัญหาการว่างงานด้วย
ดังนั้น รัฐบาลจึงอาจจะพิจารณาแนวทางดำเนินการ ดังต่อไปนี้
- การให้บริการสาธารณูปโภคดิจิตอลที่ดีขึ้น ได้แก่ โครงข่าย บริการบรอดแบนด์ถึงบ้าน การให้อุปกรณ์แก่ผู้ยากไร้ เป็นต้น
- การพัฒนาการศึกษา ต้องเพิ่มแรงงานที่มีทักษะล้ำหน้าทันการ automation และการทำงานด้วยหุ่นยนต์ (หรืออาจจะเรียกว่าแรงงานที่มีความรู้)
- รัฐบาลดิจิตอล ซึ่งจะกระตุ้นให้ประชาชนและองค์กรธุรกิจมีปฏิสัมพันธ์ตามกันไปด้วย เช่นการ ทำรายการผ่านระบบอินเทอร์เน็ตไร้สาย ซึ่งจะช่วยลดค่าบริหารจัดการอีกหลายกรณี
- ผู้นำการแปลงผันข้อมูลทั่วประเทศ เช่น ศูนย์วิจัยและพัฒนา การนำเอาเทคโนโลยีใหม่ไปใช้ การประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชน
สำหรับประเทศเล็ก ๆ อย่างเช่นสิงคโปร์ ก็แน่นอนที่เราอาจจะเรียกประชุมรัฐบาล แล้วผลักดันให้มีการตัดสินใจไปจนเสร็จสิ้นในวันเดียว แต่ด้วยความจริงแล้ว ผมไม่อยากให้นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีจะต้องมาทำเรื่องรายละเอียดเช่นนี้ (เหมือนอย่างนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์) ผมอยากให้ท่านบริหารประเทศ และหวังว่าท่านจะกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องนั้น และผมก็ไม่ต้องการให้ผู้จัดการฝ่าย หรือข้าราชการมาเป็นคนตัดสินชะตากรรมของเทคโนโลยี
ควรจะต้องมีใครบางคน จากนอกระบบเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา หรือการบริหารงานแบบเดิม ๆ มาเป็นผู้นำของนโยบายเกี่ยวกับระบบดิจิตอล และยุทธศาสตร์ในการพัฒนา คนผู้นั้นควรจะต้องกระตือรือล้นในเรื่องเกี่ยวกันเทคโนโลยี มีประสบการณ์เฉพาะตัว และเคยประสบความสำเร็จมาแล้ว
ในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเป็นรัฐใหญ่ ได้เคยใช้หลักการเช่นนี้มาแล้ว เช่นเดียวกับในเยอรมนี และประเทศอื่น ๆ กล่าวคือ จะต้องใช้คนที่ไม่ยุ่งอยู่กับการบริหารรัฐบาล
ประเทศของเราควรจะต้องแต่งตั้ง ประธานผู้บริหารฝ่ายเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ CTO
หน้าที่ของ CTO ในมุมมองของผม คือ
- ให้ความเห็นแก่คณะรัฐมนตรี ในเรื่องที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
- จัดทำนโยบายเทคโนโลยีแห่งชาติ และให้คำปรึกษาแก่ผู้ทำนโยบายด้านอื่น ๆ เช่น การศึกษา การคมนาคม และการสื่อสาร เป็นต้น
- ระบุกลยุทธ์ และแนวทางเกี่ยวกับเทคโนโลยี ให้แก่หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ
- ผลักดันการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับประเทศ โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัย และองค์กรธุกิจในประเทศ และระดับโลก
- เป็นผู้นำในการเริ่มต้น และสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีดิจิตอล
- ให้ความรู้เกี่ยวกับแนวโน้มของเทคโนโลยี และแนวทางปฏิบัติ รวมไปถึงการนำเอาระบบการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบเปิดซึ่งไม่เสียค่าใช้จ่ายมาใช้งานในประเทศ
ซึ่งภารกิจทั้งหมดนี้จะต้องปราศจากความเกี่ยวโยงกับผู้ค้าและที่ปรึกษาในธุรกิจไอที ไม่ใช่ตัดเขาออกจากวงจร เพราะคนเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบ แต่เพราะเขาอาจจะทำให้บทบาทในเชิงกลยุทธ์บิดเบือนไปได้
หน้าที่นี้ จะเป็นเหมือนฝ่ายประชาสัมพันธ์ เพราะเป็นบทบาทที่สำคัญที่จะเสริมให้เกิดการพัฒนาในการนำเอาระบบดิจิตอลมาใช้งานทั่วประเทศ เป็นสิ่งที่ต้องย้ำทั้งในด้านบทบาทและตัวบุคคล สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก
จากพื้นฐานว่า CTO แห่งชาติจะมีบทบาทอย่างไร ผมเห็นว่าตัวชี้วัดควรจะเป็นดังนี้
- จำนวนของธุรกิจเทคโนโลยีเกิดใหม่ และศูนย์ดิจิตอลนอกเขตกรุงเทพฯ
- จำนวนหลักสูตรทางเทคโนโลยีในระบบการศึกษาทั่วประเทศ
- จำนวนครั้งที่ถูกอ้างอิงถึงในสื่อมวลชนระดับโลก
- จำนวนของผู้พัฒนาโปรแกรมในระบบ Open source
- กระบวนการแปลงผันไปสู่ระบบดิจิตอลของหน่วยงานราชการ ไปสู่ประชาชนและองค์กรธุรกิจ
- จำนวนนวัตกรรม และการวิจัยและพัฒนา ที่เกิดโดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน
มิติของการทำงานในตำแหน่งนี้ยังสามารถอภิปรายต่อไปได้อีกมาก และผมก็คิดว่า CTO คนแรก ที่จะได้รับการแต่งตั้ง จะเป็นผู้จัดทำกรอบที่ชัดเจนและทำตามหน้าที่ให้บรรลุผล อย่างไรก็ดี ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเรื่องนี้จะเป็นก้าวที่สำคัญสำหรับประเทศไทย
ด้วยความเคารพ
อักเซล วินเทอร์
(ความเห็นส่วนตัว)